FAQ
- Home
- FAQ
คำถามที่พบบ่อย
แอร์สำหรับการใช้งานโดยทั่วไป สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ
1. แอร์สำหรับบ้านพักอาศัย
2. แอร์เชิงพาณิชย์
ขนาดแอร์ก็เป็นอีกหลักเกณฑ์หลักในการเลือกแอร์ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ซึ่งหน่วยวัดขนาดของแอร์นั้นเรียกว่า BTU/h โดยสามารถวัดได้ว่าแอร์เครื่องนั้นมีความสามารถในการดึงความร้อนออกจากห้องได้กี่ BTU ต่อชั่วโมง (1 BTU เท่ากับปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำ 1 ปอนด์มีอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 องศาฟาเรนไฮด์ หรือ 0.56 องศาเซลเซียส)
จำนวนของ BTU ที่ควรเลือกใช้นั้นขึ้นอยู่กับขนาดของห้อง (ความกว้าง x ยาว) และตัวแปรต่างๆ เช่น ห้องโดนแดดหรือไม่โดนแดด ความสูงของเพดานห้อง จำนวนคนในห้อง ปริมาณเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
การเลือกแอร์ที่มี BTU ต่ำไป จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักตลอดเวลาเพื่อคงอุณหภูมิให้ได้ตามที่ตั้งไว้ จึงเป็นการสิ้นเปลืองพลังงาน และทำให้เครื่องเสียเร็ว ส่วนการเลือกแอร์ที่มี BTU สูงไปก็ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ เพราะยิ่ง BTU สูง เครื่องก็ยิ่งมีราคาแพง และอาจทำให้เกิดกลิ่นอับได้
ไม่ว่าจะซื้อแอร์ยี่ห้อไหนก็ตาม ควรเลือกแอร์ที่ได้ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 โดยเบอร์ 5 นั้นเป็นระดับที่ประหยัดไฟมากที่สุด รวมทั้งแอร์ที่มีค่า EER หรือ SEER สูง โดยค่า EER คือ ค่าประสิทธิภาพแอร์ในการใช้พลังงาน วัดจากความสามารถในการทำความเย็น (BTU/h) ต่อกำลังไฟที่ใช้ไป (W) ยิ่งแอร์มีค่า EER สูงก็ยิ่งกินไฟน้อย
ส่วนค่า SEER คือ ค่าประสิทธิภาพการใช้พลังงานตามฤดูกาลของเครื่องปรับอากาศ พูดง่ายๆ ก็คืออากาศภายนอกมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของแอร์ ซึ่งใช้วัดกับแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) โดยถ้าค่า SEER สูง ก็ยิ่งกินไฟน้อยเช่นกัน
ปัจจุบัน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 โฉมใหม่ ที่เรียกกันว่า เบอร์ 5 ติดดาว โดยแบ่งเกณฑ์ประสิทธิภาพเป็น 4 ระดับได้แก่ เบอร์ 5 / เบอร์ 5 1 ดาว / เบอร์ 5 2 ดาว / เบอร์ 5 3 ดาว โดยจำนวนดาวยิ่งมาก ยิ่งประหยัดไฟ
นอกจากนี้แล้ว แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) เป็นเทคโนโลยีที่สามารถปรับเพิ่มหรือลดความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์ได้ตามอุณหภูมิห้อง ก็ช่วยทำให้ประหยัดพลังงานได้มากกว่าแอร์ธรรมดา ทำงานเงียบ และให้อุณหภูมิที่คงที่มากกว่า
แอร์อินเวอร์เตอร์ (Inverter) ของไดกิ้นมีความพิเศษด้วย คอมเพรสเซอร์แบบสวิง ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของไดกิ้น ที่สามารถลดแรงเสียดทาน และการสั่นสะเทือนของมอเตอร์ ทำให้เครื่องทำงานได้เงียบมากขึ้น และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยประหยัดพลังงาน
พร้อมทั้ง ระบบ Surge Protection ที่ช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากไฟตกหรือไฟกระชาก และ สารเคลือบแผงวงจร PCB ที่ช่วยป้องกันมด หรือแมลงเข้าไปรบกวนการทำงานของเครื่อง จึงไม่ต้องกังวลว่าจะต้องคอยซ่อมบำรุงบ่อย ๆ ทนทาน ไม่จุกจิก
เสียงของแอร์อาจเป็นสิ่งที่รบกวนสมาธิ หรือการนอนหลับของคุณได้ โดยเฉพาะแอร์ที่ไม่ใช่ระบบ อินเวอร์เตอร์ เพราะคอมเพรสเซอร์จะถูกตัดเมื่ออุณหภูมิถึงระดับที่ตั้งไว้ และเริ่มการทำงานใหม่เมื่ออุณหภูมิห้องสูงขึ้น ทำให้เกิดเสียงดัง
แตกต่างจากแอร์อินเวอร์เตอร์ของไดกิ้น จะลดรอบมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ลงเพื่อให้อุณหภูมิคงที่ แทนที่จะจะตัดการทำงานแล้วเริ่มใหม่ ทำให้ไม่เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ที่สำคัญคือทำงานเงียบ
เนื่องจากปัจจุบันปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก PM2.5 กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่พบได้บ่อยครั้งและยากที่จะหลีกเลี่ยง นอกจากการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศไว้ตามจุดต่าง ๆ ของบ้านจะช่วยเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้านแล้ว ก็ควรเลือกใช้แอร์ที่มีช่วยกรองอากาศได้ด้วย เพื่อให้ลมเย็นที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศนั้นสะอาดปลอดภัยจาก PM2.5 รวมถึงสิ่งสกปรกอื่น ๆ แบคทีเรีย และเชื้อไวรัสที่มองไม่เห็น
แอร์ที่คุณใช้งานจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ 50% และการติดตั้งอีก 50% ดังนั้นช่างติดตั้งเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญมาก ควรเลือกช่างติดตั้งที่ได้รับการอบรมด้านการติดตั้ง และบำรุงรักษาจากบริษัทแอร์แต่ละยี่ห้อโดยตรง เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการติดตั้งที่ได้มาตรฐาน
1. แอร์ไม่เย็น
2. แอร์มีกลิ่น
3. แอร์มีเสียงดัง
ช่างแอร์มักแนะนำให้ล้างแอร์ทุก ๆ 6 เดือน โดยเมื่อใช้งานผ่านไป 3 – 6 เดือน สังเกตได้ว่าพัดลมแอร์จะเริ่มมีฝุ่นเกาะหนาจนทำให้ลมไม่สามารถออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นการล้างแอร์ทุก ๆ 6 เดือน หรือปีละ 2 ครั้ง
- ราคาเริ่มต้นย้ายแอร์ 2,500 บาท
- ล้างแอร์ 500 บาท
- ซ่อมแอร์ เช็คตามหน้างาน (มีค่าตรวจเช็ค 1,000 ต่อตัว)
- ติดตั้งแอร์ใหม่
- 9000 – 12,000 btu ราคา 1,500 บาท
- 13,000 – 18,000 btu ราคา 2,000 บาท
- 24,000 – 33,000 btu ราคา 3,000 บาท